วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
อนุทินครั้งที่6
บันทึกอนุทินครั้งที่ 6
บันทึกอนุทิน
วัน/เดือน/ปี 19/กค/2556
ครั้งที่ 6
เวลาเข้าสอน 13.10 เวลาเรียน 13.10 เวลาเลิกเรียน 16.40
วันนี้อาจารย์สอนเรื่อง แนวทางการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
แนวทางการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยมีดังนี้ค่ะ
1. การจัดประสบการณ์ทางภาษาที่เน้นทักษะทางภาษา (Skill Approch)
- ให้ด็กรู้จักส่วนย่อยๆของ
- การประสมคำ
-ความหมายของคำ
-นำคำประกอบเป็นประโยค
-การแจกลูกสะกดคำ การเขียน
เช่น กอ-อา-กา
ขอ-อา-ขา
ซึ่งจากที่เราเรียนมานั้น
* ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติการใช้ภาษาของเด็ก
* ไม่สอดคล้องกับลักษณการเรียนรู้ของเด็ก
Kenneth Goodman
-เสนอแนวทางการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
-มีความเชื่อมโยงระหว่างภาษากับความคิด
-แนวทางการสอนมีพัฒนามาจากการเรียนรู้ และ ธรรมชาติของเด็ก
ธรรมชาติของเด็กปฐมวัย
-สนใจ อยากรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆรอบตัว
-ช่างสงสัย ช่างซักถาม
-มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ
ชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
-เลียนแบบคนรอบตัว
2. การสอนภาษาแบบธรรมชาติ ( Whole Language )
ทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อการสอนภาษาแบบธรรมชาติ
Dewey/Piaget/ Vygotsky/ Haliday
-เด็กเรียนรู้ภาษาจากประสบการณ์และลงมือกระทำ
-เด็กเรียนรู้จากกิจกรรม การเคลื่อนไหวของตนเองและการใช้สัมผัสจับต้องกับสิ่ง่างๆแล้วสร้างความรู้นั้นมาด้วยตนเอง
-อิทธิพลของสังคมและบุคคลอื่นที่มีผลต่อการเรียนรู้ภาษาของเด็ก
การสอนภาษาธรรมชาติ
-สอนแบบบูรณาการ/องค์รวม
-สอนในสิ่งที่เด็กสนใจและมีความหมายสำหรับเด็ก
-สอนสิ่งใกล้ตัวเด็กและอยู่ในชีวิตประจำวัน
-สอดแทรกการฝึกทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน ไปพร้อมกับการทำกิจกรรม
-ไม่เข้มงวดกับการท่อง สะกด
-ไม่บังคับให้เด็กเขียน
หลักการการสอนภาษาแบบธรรมชาติ (นฤมน เนียมหอม 2540)
1. การจัดสภาพแวดล้อม
-ตัวหนังสือที่ปรากฎในห้องเรียนจะต้องมีเป้าหมายในการใช้จริงๆ
-หนังสือที่ใช้ จะต้องเป็นหนังสือที่ใช้ภาษาที่มีความหมายสมบรูณ์ในตัว
เด็กมีส่วนร่วมในการจัดสภาพแวดล้อม
2. การสื่อสารที่มีความหมาย
-เด็กสื่อสารโดยมีพื้นฐานจากประสบการณ์จริง
-เด็กอ่านและเขียนอย่างมีจุดมุ่งหมาย
-เด็กได้ใช้เวลาในการอ่านและเขียนตามโอกาส
3.การเป็นแบบอย่าง
-ครูเชื่อมั่นว่าเด็กมีความสามารถในการอ่านและการเขียน
-เด็กเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กเห็นว่าการอ่านเป็นเรื่องสนุก
4.การตั้งความคาดหวัง
-ครูเชื่อมั่นว่าเด็กมีความสามารถในการอ่านและการเขียน
-เด็กสามารถอ่าน เขียนได้ดีและถูกต้องยิ่งขึ้น
5.การคาดคะแน
-เด็กมีโอกาสที่ทดลองกับภาษา
-เด็กได้คาดเดา หรือ คาดคะแนคำที่จะอ่าน
-ไม่คาดหวังให้เด็กอ่านและเขียนได้เหมอนผู้ใหญ่
6. การใช้ข้อมูลย้อนกลับ
-ตอบสนองความพยายามในการใช้ภาษาของเด็ก
- ยอมรับการอ่านและการเขียนของเด็ก
- ตอบสนองเด็กให้เหมาะสมกับสถานการณ์
7. การยอมรับนับถือ
-เด็กมีความแตกต่างระหว่างบุคคล
-เด็กได้เลือกกิจกรรมที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง
-ในช่วงเวลาเดียวกันเด็กไม่จำเป็นต้องทำกิจกรรมอย่างเดียวกัน
-ไม่ทำกิจกรรมตามลำดับขั้นตอน
8. การสร้างความรู้สึกเชื่อมั่น
-ให้เด็กรู้จักปลอดภัยที่ใช้ภาษา
-ครูจต้องทำให้เด็กไม่กลัวที่จำขอความช่วยเหลือ
-ไม่ตราหน้าเด็กว่าไม่มีความสามารถ
-เด็กมีความเชื่อมันว่าตนมีความสามารถ
ผู้ถ่ายทอดความรู้-----> ผู้อำนวยการ----->ผู้ร่วมทางการเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็ก
บทบาทของครู
-ครูไม่ควรคาดหวังกับเด็กเพราะแต่ละคนมีความแตกต่างกัน
-ใช้ประสบการณ์ตรงในการสนับสนุนการอ่าน การเขียน ให้กับเด็ก
-ครูควรยอมรับกับความไม่ถูกต้องของเด็ก เด็กอาจจะพูดผิด เขียนผิด ครูควรค่อยๆสอน
ไม่ควรตำหนิเด็ก
-ครูสร้างความสนใจในคำและสิ่งพิมพ์
การนำไปใช้ ทำให้เรารู้และเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของเด็กปฐมวัยว่าเด็กปฐมวัยมีความอยากรู้อยากเห็น อยากถาม ขี้สงสัย ครูจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเด็กและมีบทบาทในการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กให้เหมาะสมกับวัย
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
บันทึกอนุทินครั้งที่ 4
บันทึกอนุทินครั้งที่ 4
วัน/เดือน/ปี 05/ก.ค./2556
ครั้งที่4 เวลาเรียน 13.10-16.40 เวลาเข้าสอน 13.10
เวลาเข้าเรียน 13.10 เวลาเลิกเรียน 16.40
เป็นการรายงานของแต่ละกลุ่ม
ความสำคัญของภาษา
1. ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารของมนุษย์ มนุษย์ติดต่อกันได้ เข้าใจกันได้ก็ด้วยอาศัยภาษาเป็นเครื่องช่วยที่ดีที่สุด
2. ภาษาเป็นสิ่งช่วยยึดให้มนุษย์มีความผูกพันต่อกัน เนื่องจากแต่ละภาษาต่างก็มีระเบียบแบบแผนของตน ซึ่งเป็นที่ตกลงกันในแต่ละชาติแต่ละกลุ่มชน การพูดภาษาเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน มีความผูกพันต่อกันในฐานะที่เป็นชาติเดียวกัน
3. ภาษาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ และเป็นเครื่องแสดงให้เห็นวัฒนธรรมส่วนอื่นๆของมนุษย์ด้วย เราจึงสามารถศึกษาวัฒนธรรมตลอดจนเอกลักษณ์ของชนชาติต่างๆได้จากศึกษาภาษาของชนชาตินั้นๆ
4. ภาษาศาสตร์มีระบบกฎเกณฑ์ ผู้ใช้ภาษาต้องรักษากฎเกณฑ์ในภาษาไว้ด้วยอย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์ในภาษานั้นไม่ตายตัวเหมือนกฎวิทยาศาสตร์ แต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของภาษา เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ตั้งขึ้น จึงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยตามความเห็นชอบของส่วนรวม
5. ภาษาเป็นศิลปะ มีความงดงามในกระบวนการใช้ภาษา กระบวนการใช้ภาษานั้น มี
ระดับและลีลา ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆหลายด้าน เช่น บุคคล กาลเทศะ ประเภทของเรื่องฯลฯ การที่จะเข้าใจภาษา และใช้ภาษาได้ดีจะต้องมีความสนใจศึกษาสังเกตให้เข้าถึงรสของภาษาด้วย
กลุ่มที่ 2 ได้รายงาน เรื่อง แนวคิดของภาษา
เพียเจท์ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญา โดยเขาเชื่อว่าว่าเด็กทุกคนเกิดมาพร้อมที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติตลอดเวลา และส่วนใหญ่แล้วมนุษย์จะเป็นผู้
ระดับและลีลา ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆหลายด้าน เช่น บุคคล กาลเทศะ ประเภทของเรื่องฯลฯ การที่จะเข้าใจภาษา และใช้ภาษาได้ดีจะต้องมีความสนใจศึกษาสังเกตให้เข้าถึงรสของภาษาด้วย
กลุ่มที่ 2 ได้รายงาน เรื่อง แนวคิดของภาษา
เพียเจต์ (Jean Piaget : 1896-1980) นักจิตวิทยาชาวสวิตเซอร์แลนด์ ได้เรียนจบปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์ สาขาสัตววิทยา หลังจากที่เขาเรียนจบแล้วได้ทำงานกับนายแพทย์บีเนต์และซีโม ซึ่งเป็นผู้สร้างข้อสอบเชาวน์ เพียเจท์พบว่าคำตอบของเด็กเล็กกับเด็กโตจะตอบไม่เหมือนกัน และสรุปได้ว่า คำตอบของเด็กวัยต่างจะแตกต่างกันและไม่ควรด่วนสรุปว่าเด็กโตฉลาดกว่าเด็กเล็ก หรือคำตอบของเด็กเล็กจะผิดเสมอ
จุดเริ่มต้นของการศึกษาพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก โดยเริ่มจากลูกทั้ง 3 คนของพวกเขา เป็นหญิง 1 คน ชาย 2 คน เพียเจต์ได้บันทึกและเขียนเป็นรายงานในการสังเกตของเขาไม่เฉพาะเป็นภาษฝรั่งเศษเท่านั้นที่ทำให้เข้าใจยาก แต่เนื้อหาและสาระก็ทำให้เข้าใจยากเหมือนกัน ต่อมาได้มีคนแปลเป็นภาษาอังกฤษและสรุปให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น เพียเจท์ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญา โดยเขาเชื่อว่าว่าเด็กทุกคนเกิดมาพร้อมที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติตลอดเวลา และส่วนใหญ่แล้วมนุษย์จะเป็นผู้
- กระทำ(Active)ก่อน โดยวางอยู่บนพื้นฐานที่มาแต่กำเนิด 2 ชนิด คือ
- การจัดและรวบรวม(Oganization) หมายถึงมีการจัดระเบียบภายในเข้าเป็นระบบ ระเบียบและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาที่ปฎิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
- การปรับตัว(Adaptation) หมายถึงการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมให้สมดุลย์ จะประกอบด้วยกระบวนการสำคัญ 2 อย่างคือ
- การดูดซึม (Assimilation) และ
- การปรับความแตกต่าง (Accommodation)
กลุ่มที่ 3 ได้รายงาน เรื่อง พัฒนาทางสติปัญญา
0-1 เดือน ลูกกินนมแม่ทำให้ลูกได้รับความอบอุ่นจากแม่ได้อย่างเต็มที่
2 เดือน เริ่มทำเสียงอ้อแอ้ แสดงท่าทางดีใจเมื่อได้กินนม เด็กจะเริ่มชันคอขึ้น เมื่อควรอุ้มพาดบ่าหรือจับให้นอนคว่ำ เพื่อที่จะได้ส่งเสริมพัฒนาการของลูกให้ได้เร็วขึ้น
3 เดือน ลูกเริ่มชันคอได้ตรง แม่อุ้มลูกในท่านั่ง กินนมแม่อย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว ต้องระวังหากยังไม่สามารถสบตา นอนคว่ำชันคอไม่ได้ ก็ควรพาไปพบแพทย์
กลุ่มที่ 4 ได้รายงาน เรื่อง พัฒนาการด้านสติปัญญา 2- 4 ปี
จีน เพียเจต์ เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่ เพราะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คือถือความคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็นเหตุผลของผู้อื่น ความคิดและเหตุผลของเด็กวัยนี้ จึงไม่ค่อยถูกต้องตามความเป็นจริงนัก นอกจากนี้ความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ยังคงอยู่ในระดับเบื้องต้น เช่น เข้าใจว่าเด็กหญิง 2 คน ชื่อเหมือนกัน จะมีทุกอย่างเหมือนกันหมด แสดงว่าความคิดรวบยอดของเด็กวัยนี้ยังไม่พัฒนาเต็มที่ แต่พัฒนาการทางภาษาของเด็กเจริญรวดเร็วมาก สรุปไว้ว่า เราไม่ควรไปเร่งรัดให้เด็กพัฒนาจากอีกขั้นไปอีกขั้น
**จากวิดีโอ เด็กจะมีปฏิสัมพันธุ์ที่จะสื่อสารโต้ตอบกับบุคคลแปลกหน้าและเพื่อนได้เป็นอย่างดี
กลุ่มที่ 5 ได้รายงาน เรื่อง พัฒนาาดารเด็กช่วง 4-6 ปี
เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-6 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจความหมายของจำนวนเลข เริ่มมีพัฒนาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ แต่ไม่แจ่มชัดนัก สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยไม่คิดเตรียมล่วงหน้าไว้ก่อน รู้จักนำความรู้ในสิ่งหนึ่งไปอธิบายหรือแก้ปัญหาอื่นและสามารถนำเหตุผลทั่วๆ ไปมาสรุปแก้ปัญหา โดยไม่วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเสียก่อนการคิดหาเหตุผลของเด็กยังขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนรับรู้ หรือสัมผัสจากภายนอก ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เด็กรับรู้ และชอบสังเกต แลชอบถามว่า ทำไม และทำไม เด็กจะชอบฟงคำพูด ของคุณพ่อคุณแม่
พัฒนาการทางภาษา เด็กอายุ 4 - 6 ปีบอกชื่่อ นามสกุล และที่อยู่ได้
- รู้จักเพศของตัวเอง
- ชอบถามทำไม เมื่อไร อย่างไร และถามความหมายของคำ และมักเป็นคำถามที่มีเหตุผลมากขึ้น
- เด็กวัยนี้สามารถขยายคำศัพท์ เด็กวัยนี้สามารถขยายคำศัพท์จาก 4,000 - 6,000 คำ และสามารถพูดได้ 5-6 ประโยคต่อคำ สามารถเล่าเรื่องซ้ำ 4 -5 ลำดับขั้น หรือ 4 -5 ประโยคในเรื่องหนึ่งได้
- เข้าใจคำถามง่ายๆ และตอบคำถามนั้นได้ แม้ในเด็กบางคนอาจจะยังพูดติดอ่าง แต่ก็สามารถแก้ไขได้
- ชอบเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่คิดขึ้นมาเอง ให้คนอื่นๆ ฟัง ทั้งพ่อแม่ คนรอบข้าง และเพื่อน
- คิดคำขึ้นมาใช้โต้ตอบกับผู้ใหญ่ได้
- มักให้ความสนใจในภาษาพูดของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคำแสลง หรือคำอุทาน
- ชอบเรื่องสนุก ตลก ชอบภาษาแปลกๆ ชอบฟังนิทานมาก และชอบฟังเพลง มักจะคอยฟังเวลาที่ผู้ใหญ่คุยกัน จดจำคำศัพท์ และบทสนทนาเหล่านั้น โดยเฉพาะคำแสลงหรือคำอุทาน
- สามารถบอกชื่อสิ่งของในภาพที่เห็นได้ หรือเล่าเรื่องที่พ่อแม่เคยอ่านให้ฟังได้ และจะเล่นเป็นสุนัข เป็ด หรือสัตว์ต่างๆ ในเรื่องนั้น พร้อมทำเสียงสัตว์เหล่านั้นประกอบได้
- สับสนระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องเล่าในหนังสือเด็ก
กลุ่มที่ 6 ได้รายงานเรื่อง ทฤษฎีจิตวิทยาการเรียนรู้
แนวคิดของทฤษฎี
1. สามารถเปล่ยนแปลงของบุคคลที่เป็นผลมาจากการได้รับประสบการณ์
2. ต้องอาศัยวุฒิภาวะ
ความหมาย
คือ การเปลี่ยนแปลงอันมีมูลมาจากการได้รับประสบการณ์และได้ปฏิบัติตนที่แตกต่างไปจากเดิม
จุดมุ่งหมาย
- ด้านพุทธิพิสัย เช่น สติปัญญา การเรียนรู้ การแก้ปัญหา
- ด้านเจตพิสัย เช่น ความรู้สึกของแต่ละบุคคล
- ด้านทักษะพิสัย เช่น พฤติกรรมการเรียนรู้ที่บ่งถึงความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญ
องค์ประกอบ
- แรงขับ คือ จะเกิดขึ้นภายในตัวบุคคล
- สิ่งเร้า เช่น สื่อ อุปกรณ์ ครูผู้สอน
- การตอบสนอง คือ การเคลื่อนไหวของเด็ก การพูด
- การสร้างแรงเสริม
การนำไปใช้
***จากวิดีโอ เด็กจะสื่อสารตามความเข้าใจของเขาเอง
กลุ่มที่ 7 ได้รายงานเรื่อง วิธีการเรียนรู้
การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์ (Piaget) ได้กล่าวถึง การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานของโครงสร้างทางปัญญา (Schemata) เป็นวิธีที่เด็กจะเริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับสิ่งแวดล้อม และสิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการมี 2 อย่างคือ1. การขยายโครงสร้าง (Assimilation) คือ การที่บุคคลได้รับประสบการณ์หรือรับรู้สิ่งใหม่เข้าไปผสมผสานกับความรู้เดิม2. การปรับเข้าสู่โครงสร้าง (Accommodation) คือการที่โครงสร้างทางปัญญาของบุคคลนำเอาความรู้ใหม่ที่ได้ปรับปรุงความคิดให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เพียเจท์ (Piaget) เป็นผู้นำทฤษฎีนี้เน้นที่กระบวนการและเนื้อหาของการเล่นที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา เพียเจท์ มองการเล่นเป็นกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา ซึ่งกระบวนการพัฒนาทางสติปัญญา และลักษณะของการเล่นนั้น จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน การเล่นของเด็กจะเริ่มจากการเล่นโดยใช้ประสาทสัมผัส ซึ่งจะมีพฤติกรรมในลักษณะที่เป็นการสำรวจจับต้องวัตถุ นับว่าเป็นการฝึกเล่นและพัฒนาการเล่นควบคู่ไปกับการพัฒนาทางสติปัญญาเป็นขั้นการแก้ปัญหาด้วยการกระทำ (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2541 : 16) เพียเจท์ (Piaget, 1965 : 35 – 37) ได้แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น 4 ขั้นคือ 1. ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว (Sensorimotor Stage) อายุตั้งแต่แรกเกิดถึง 2 ปี ในขั้นนี้เด็กจะรูจักใช้ประสาทสัมผัสทางปาก หู ตา ต่อสิ่งแวดล้อม พฤติกรรมที่แสดงออกในรูปของการมีปฏิกิริยาตอบสนองสิ่งเร้า ในระยะนี้จะสามารถจำได้ว่าวัตถุและเหตุการณ์บางอย่างเป็นอย่างเดียวกัน2. ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการ (Pre – Operational Stage) อายุ 2 – 7 ปี เป็นขั้นที่เด็กเริ่มเรียนรู้ภาษาพูดและเข้าใจเครื่องหมายต่าง ๆ หรือสภาพแวดล้อมรอบตัว สัญลักษณ์ต่าง ๆ เด็กจะสามารถสร้างโครงสร้างทางสติปัญญาแบบง่าย ซึ่งเป็นการคิดพื้นฐานที่อาศัยการรับรู้เป็นส่วนใหญ่ สามารถแบ่งเป็น 2 ระยะคือ 2.1 ระยะก่อนเกิดความคิดรอบยอด เป็นขั้นที่เด็กชอบสำรวจ ตรวจสอบ จะสนใจว่าทำไมเหตุการณ์ต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นและเกิดได้อย่างไร จะเริ่มใช้ภาษาและเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์ และมีลักษณะต่าง ๆ คือ จะยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง มองไม่เห็นวัตถุที่เหมือนกันอาจมีบางส่วนต่างกัน เด็กจะเริ่มคิดอย่างมีเหตุผลเป็นแบบตามใจตัวเอง และจะตัดสินสิ่งต่าง ๆ ตามที่มองเห็น 2.2 ระยะการคิดแบบใช้ญาณหยั่งรู้ เป็นการคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างที่รวด เร็วโดยไม่คำนึงถึงรายละเอียด การคิดและการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับการรับรู้เป็นส่วนใหญ่ ทำให้การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงไปมา และมีลักษณะคือ เข้าใจเรื่องจำนวน เข้าใจเรื่องความคงที่ (Conservation) เริ่มคิดได้ว่าของบางสิ่งยังคงเดิมไม่คำนึงถึงรูปร่างและจำนวนที่เปลี่ยนไป เข้าสังคมได้มากขึ้น เลียนแบบบทบาทต่าง ๆ ส่วนพฤติกรรมยึดตนเองเป็นศูนย์กลางจะลดน้อยลง3.ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม (Concrete Operational Stage) อายุ 7 – 11 ปี เป็นขั้นที่เด็กจะสามารถใช้เหตุผลกับสิ่งที่มองเห็น และมองความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้นเพราะเด็กจะพัฒนาโครงสร้างการคิดที่จะเป็นกับความสันพันธ์ที่สลับซับซ้อน เด็กในวัยนี้จะสามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้นกับสิ่งที่เป็นนามธรรม เด็กจะเห็นสภาพแวดล้อมว่าประกอบด้วยวัตถุและเหตุการณ์ต่าง ๆ แม้ว่าวัตถุที่มองเห็นจะเปลี่ยนไป 4. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม (Formal Operational Stage) อายุ 11 ปีขึ้นไป เป็นขั้นที่พัฒนาการทางความคิดของเด็กถึงขั้นสูงสุด จะเข้าใจการใช้เหตุผลและการทดลองได้อย่างมีระบบ สามารถตั้งสมมติฐานและทฤษฎีอีกทั้งเห็นว่า ความจริงที่รู้ไม่สำคัญเท่าสิ่งที่อาจเป็นไปได้
กลุ่มที่ 9 ได้รายงาน เรื่อง องค์ประกอบของภาษา
ภาษาทุกภาษาย่อมมีองค์ประกอบของภาษา โดยทั่วไปจะมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ1. เสียง
นักภาษาศาสตร์จะให้ความสำคัญของเสียงพูดมกกว่าตัวเขียนที่เป็นลายลักษณ์อักษร เพราะภาษาย่อมเกิดจากเสียงที่ใช้พูดกัน ส่วนภาษาเขียนเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แทนเสียงพูด คำที่ใช้พูดจากันจะประกอบด้วยเสียงสระ เสียงพยัญชนะและเสียงวรรณยุกต์ แต่บางภาษาก็ไม่มีเสียงวรรณยุกต์ เช่น บาลี สันสกฤต เขมร อังกฤษ
2. พยางค์และคำ
พยางค์เป็นกลุ่มเสียงที่เปล่งออกมาแต่ละครั้ง จะประกอบด้วย เสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ จะมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้
พยางค์แต่ละพยางค์จะมีเสียงพยัญชนะต้น ซึ่งเป็นเสียงที่อยู่หน้าเสียงสระ พยางค์ทุกพยางค์จะต้องมีเสียงพยัญชนะต้น เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ บางพยางค์ก็อาจมีเสียงพยัญชนะสะกดประกอบอยู่ด้วย เช่น
“ ปา”พยัญชนะต้น ได้แก่ เสียงพยัญชนะ /ป/
เสียงสระ ได้แก่ เสียงสระ /อา/
เสียงวรรณยุกต์ ได้แก่ เสียง /สามัญ/
ส่วนคำนั้นจะเป็นการนำเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์มาประกอบกัน ทำให้เกิดเสียงและมีความหมาย คำจะประกอบด้วยคำพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้
ประโยค
3. ประโยค เป็นการนำคำมาเรียงกันตามลักษณะโครงสร้างของภาษาที่กำหนดเป็นกฎเกณฑ์หรือระบบตามระบบทางไวยากรณ์ของแต่ละภาษา และทำให้ทราบหน้าที่ของคำ
4. ความหมาย
ความหมายของคำมี 2 อย่าง คือ
(1) ความหมายตามตัวหรือความหมายนัยตรง เป็นความหมายตรงของคำนั้นๆ เป็นคำที่ถูกกำหนดและผู้ใช้ภาษามีความเข้าใจตรงกัน เช่น
“ กิน” หมายถึง นำอาหารเข้าปากเคี้ยวและกลืนลงไปในคอ
(2) ความหมายในประหวัดหรือความหมายเชิงอุปมา เป็นความหมายเพิ่มจากความหมายในตรง เช่น
“ กินใจ” หมายถึง รู้สึกแหนงใจ
“ กินแรง” หมายถึง เอาเปรียบผู้อื่นในการทำงาน
นักภาษาศาสตร์จะให้ความสำคัญของเสียงพูดมกกว่าตัวเขียนที่เป็นลายลักษณ์อักษร เพราะภาษาย่อมเกิดจากเสียงที่ใช้พูดกัน ส่วนภาษาเขียนเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แทนเสียงพูด คำที่ใช้พูดจากันจะประกอบด้วยเสียงสระ เสียงพยัญชนะและเสียงวรรณยุกต์ แต่บางภาษาก็ไม่มีเสียงวรรณยุกต์ เช่น บาลี สันสกฤต เขมร อังกฤษ
2. พยางค์และคำ
พยางค์เป็นกลุ่มเสียงที่เปล่งออกมาแต่ละครั้ง จะประกอบด้วย เสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ จะมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้
พยางค์แต่ละพยางค์จะมีเสียงพยัญชนะต้น ซึ่งเป็นเสียงที่อยู่หน้าเสียงสระ พยางค์ทุกพยางค์จะต้องมีเสียงพยัญชนะต้น เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ บางพยางค์ก็อาจมีเสียงพยัญชนะสะกดประกอบอยู่ด้วย เช่น
“ ปา”พยัญชนะต้น ได้แก่ เสียงพยัญชนะ /ป/
เสียงสระ ได้แก่ เสียงสระ /อา/
เสียงวรรณยุกต์ ได้แก่ เสียง /สามัญ/
ส่วนคำนั้นจะเป็นการนำเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์มาประกอบกัน ทำให้เกิดเสียงและมีความหมาย คำจะประกอบด้วยคำพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้
ประโยค
3. ประโยค เป็นการนำคำมาเรียงกันตามลักษณะโครงสร้างของภาษาที่กำหนดเป็นกฎเกณฑ์หรือระบบตามระบบทางไวยากรณ์ของแต่ละภาษา และทำให้ทราบหน้าที่ของคำ
4. ความหมาย
ความหมายของคำมี 2 อย่าง คือ
(1) ความหมายตามตัวหรือความหมายนัยตรง เป็นความหมายตรงของคำนั้นๆ เป็นคำที่ถูกกำหนดและผู้ใช้ภาษามีความเข้าใจตรงกัน เช่น
“ กิน” หมายถึง นำอาหารเข้าปากเคี้ยวและกลืนลงไปในคอ
(2) ความหมายในประหวัดหรือความหมายเชิงอุปมา เป็นความหมายเพิ่มจากความหมายในตรง เช่น
“ กินใจ” หมายถึง รู้สึกแหนงใจ
“ กินแรง” หมายถึง เอาเปรียบผู้อื่นในการทำงาน
กลุ่มที่10 ได้รายงานเรื่องภาษาและธรรมชาติของเด็กปฐมวัย
เป็นคลิปวีดีโอการเรียนการสอนของเด็กปฐมวัย
เด็กเขาจะใช้ภาษาในความคิดและจินตนากาของเขา
ภาษาที่เด็กใช้หรือเข้าใจจะไม่มีถูกและมีผิด
บันทึกอนุทินครั้งที่2
บันทึกอนุทินครั้งที่ 2
บันทึกอนุทินครั้งที่ 2
วัน/เดือน/ปี 21/มิ.ย/2556
ครั้งที่2 เวลาเรียน 13.10-16.40 เวลาเข้าสอน 13.10
ครั้งที่2 เวลาเรียน 13.10-16.40 เวลาเข้าสอน 13.10
เวลาเข้าเรียน 13.10 เวลาเลิกเรียน 16.40
วันนี้อาจารย์สอนเกี่ยวกับเรื่องภาษาว่ามีความหมายอย่างไร ทักษะทางภาษามีอะไรบ้าง สอนเกี่ยวกับทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ Piaget และเรื่องพัฒนาการภาษาของเด็ก โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
ภาษา หมายถึง การสื่อความหมาย
ภาษาเป็นเครื่องมือในการแสดงความคิดและความรู้สึก
ความสำคํญของภาษา
1.ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสาร
2.ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสาร
3.ภาษาเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน
4.ภาษาเป็นเครื่องมือช่วยจรรโลงจิตใจ
ทักษะทางภาษา
การฟัง การพูด การอ่าน การเขียน
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ Piaget
การที่เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาการทางด้านภาาาและสติปัญญา
กระบวนการเรียนรู้
1.(Assimilation) การดูดซึม
เด็กได้รู้และดูดซึมภาพจากสิ่งแวดล้อมด้วยประสบการณ์ของตนเอง
2.(Accommodation) การปรับความเข้าใจเดิมให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่
เกิดควบคู่ไปกับการดูดซึม โดยการปรับตัวความรู้เดิมที่มีอยู่แล้วให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมหรือประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับ
เมื่อเกิดการดูดซึมและการปรับตัวความเข้าใจจะเกิดความสมดุล (Equilibrium) ทำให้กลายเป็นความคิดรวบยอดในสมอง
Piaget ได้แบ่งพัฒนาการด้านสติปัญญา ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการใช้ภาษา
1. ขั้นพัฒนาการด้านประสาทสัมผัส (Sensorimotor Stage) แรกเกิด - 1 ปี
- เรียนรู้จากประสาทสัมผัส
- รู้คำศัพท์จากสิ่งแวดล้อม บุคคลรอบตัว
- สนใจสิ่งที่อยู่รอบตัวก่อนที่จะเรียนรู้ภาษา
2. ขั้นเตรียมการความคิดที่มีเหตุผล (Preopentional Stage)
2.1 อายุ 2 - 4 ปี (Preconceptual Period)
- เด็กเริ่้มใช้ภาษาและสัญลักษณ์ในการสื่อสาร เล่นบทบาทสมมติ การเล่าเรื่อง แสดงความรู้สึกผ่านสีหน้า บอกชื่อสิ่งต่างๆ รอบตัว ภาษาของเด็กมีลักษณะยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง จะใช้ภาษาหรือสัญลักษณ์ออกโดยคิดว่าผู้อื่นคิดเหมือนตน
2.2 อายุ 4 -7 ปี (Intuitive Period)
- ใช้ภาษาในการสื่อสารได้ดีกับครอบครัว คนรอบข้าง ให้ความสนใจกับสิ่งที่เป็นนามธรรมได้บ้าง ยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง
- รู้จักสร้างมโนทัศน์โดยอาศัยการจัดกลุ่มวัตถุสามารถเห็นความสัมพันธ์กับสิ่งของ
3. ขั้นการคิดแบบรูปธรรม (Concrete Operational Stage) อายุ 7 - 11 ปี
- แก้ปัญหาโดยใช้เหตุผลเป็นรูปธรรม
4. ขั้นการคิดแบบนามธรรม (Formal Operational) อายุ 11 - 15 ปี
- คิดอย่างเป็นระบบ
- ใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา
- เข้าใจกฏเกณฑ์ทางสังคม
- สร้างมโนทัศน์ให้สัมพันธ์กับนามธรรม
ภาษาเป็นเครื่องมือในการแสดงความคิดและความรู้สึก
ความสำคํญของภาษา
1.ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสาร
2.ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสาร
3.ภาษาเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน
4.ภาษาเป็นเครื่องมือช่วยจรรโลงจิตใจ
ทักษะทางภาษา
การฟัง การพูด การอ่าน การเขียน
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ Piaget
การที่เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาการทางด้านภาาาและสติปัญญา
กระบวนการเรียนรู้
1.(Assimilation) การดูดซึม
เด็กได้รู้และดูดซึมภาพจากสิ่งแวดล้อมด้วยประสบการณ์ของตนเอง
2.(Accommodation) การปรับความเข้าใจเดิมให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่
เกิดควบคู่ไปกับการดูดซึม โดยการปรับตัวความรู้เดิมที่มีอยู่แล้วให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมหรือประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับ
เมื่อเกิดการดูดซึมและการปรับตัวความเข้าใจจะเกิดความสมดุล (Equilibrium) ทำให้กลายเป็นความคิดรวบยอดในสมอง
Piaget ได้แบ่งพัฒนาการด้านสติปัญญา ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการใช้ภาษา
1. ขั้นพัฒนาการด้านประสาทสัมผัส (Sensorimotor Stage) แรกเกิด - 1 ปี
- เรียนรู้จากประสาทสัมผัส
- รู้คำศัพท์จากสิ่งแวดล้อม บุคคลรอบตัว
- สนใจสิ่งที่อยู่รอบตัวก่อนที่จะเรียนรู้ภาษา
2. ขั้นเตรียมการความคิดที่มีเหตุผล (Preopentional Stage)
2.1 อายุ 2 - 4 ปี (Preconceptual Period)
- เด็กเริ่้มใช้ภาษาและสัญลักษณ์ในการสื่อสาร เล่นบทบาทสมมติ การเล่าเรื่อง แสดงความรู้สึกผ่านสีหน้า บอกชื่อสิ่งต่างๆ รอบตัว ภาษาของเด็กมีลักษณะยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง จะใช้ภาษาหรือสัญลักษณ์ออกโดยคิดว่าผู้อื่นคิดเหมือนตน
2.2 อายุ 4 -7 ปี (Intuitive Period)
- ใช้ภาษาในการสื่อสารได้ดีกับครอบครัว คนรอบข้าง ให้ความสนใจกับสิ่งที่เป็นนามธรรมได้บ้าง ยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง
- รู้จักสร้างมโนทัศน์โดยอาศัยการจัดกลุ่มวัตถุสามารถเห็นความสัมพันธ์กับสิ่งของ
3. ขั้นการคิดแบบรูปธรรม (Concrete Operational Stage) อายุ 7 - 11 ปี
- แก้ปัญหาโดยใช้เหตุผลเป็นรูปธรรม
4. ขั้นการคิดแบบนามธรรม (Formal Operational) อายุ 11 - 15 ปี
- คิดอย่างเป็นระบบ
- ใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา
- เข้าใจกฏเกณฑ์ทางสังคม
- สร้างมโนทัศน์ให้สัมพันธ์กับนามธรรม
พัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย
เด็กปฐมวัยเรียนรู้ภาษา จากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวทั้งสิ่งแวดล้อมที่บ้าน และโรงเรียน เด็กจะเรียนรู้การฟังและการพูดก่อน เพราะการฟังและการพูดเป็นของคู่กัน เป็นพื้นฐาน
ทางภาษา กล่าวคือ เมื่อฟังแล้วก็ย่อมต้องพูดสนทนาโต้ตอบได้ การเรียนภาษาของเด็กปฐมวัยไม่จำเป็นต้องอาศัยการสอนอย่างเป็นทางการ หรือตามหลักไวยกรณ์ แต่จะเป็นการเรียนรู้
จากการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว หรือเป็นการสอนแบบธรรมชาติ
ทางภาษา กล่าวคือ เมื่อฟังแล้วก็ย่อมต้องพูดสนทนาโต้ตอบได้ การเรียนภาษาของเด็กปฐมวัยไม่จำเป็นต้องอาศัยการสอนอย่างเป็นทางการ หรือตามหลักไวยกรณ์ แต่จะเป็นการเรียนรู้
จากการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว หรือเป็นการสอนแบบธรรมชาติ
บันทึกอนุทินครั้งที่1
บันทึกอนุทินครั้งที่ 1
บันทึกอนุทินครั้งที่ 1
วัน/เดือน/ปี 14/มิ.ย/2556
ครั้งที่ 1 เวลาเรียน 13.10-16.40 เวลาเข้าสอน 13.10
เวลาเข้าเรียน 13.10 เวลาเลิกเรียน 16.40
วัน/เดือน/ปี 14/มิ.ย/2556
ครั้งที่ 1 เวลาเรียน 13.10-16.40 เวลาเข้าสอน 13.10
เวลาเข้าเรียน 13.10 เวลาเลิกเรียน 16.40
1. เราต้องมีความซื่อสัตย์ในการทำงาน
2. ความรู้ ความสามารถในการวิเคราะห์เนื้อหาหรืองานที่ได้เรียน
3. ทักษะทางปัญญา สามารถคิดและวางแผนงานให้เปนระบบได้
4. ต้องมีทักษะในการสื่อสารภาษาอย่างถูกต้อง
5. ทักษะวิเคราะห์ทางตัวเลข และเทคโนโลยี ซึ่งเราสามารถใช้เทคโนโลยีในการค้นคว้าสื่อสารได้
6. การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนและเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)